ข้อบังคับของมูลนิธิ
ข้อบังคับ
มูลนิธิมูลนิธิพระครูวรรณสารโสภณ (เฟื่อง รวิวณฺโณ)
*****************
หมวดที่ 1
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ 1 มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิพระครูวรรณสารโสภณ (เฟื่อง รวิวณฺโณ) ย่อว่า วฟร
เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า PHRAKRUWANNASANSOPHON FOUNDATION ย่อว่า PWF
ข้อ 2 เครื่องหมายของมูลนิธิ คือ
ว ย่อมาจาก พระครูวรรณสารโสภณ เป็นสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทาน ใช้ตัวอักษรเป็นสีบรอนซ์เงิน หมายถึง สีแห่งบริวารและกัลยาณมิตร เป็นสีมงคลตามวันเกิดของท่านคือวันพุธตอนกลางคืน
ฟ ย่อมาจาก เฟื่อง เป็นนามเดิมของท่าน ใช้ตัวอักษรสีเขียว หมายถึง มูละร่ำรวยเป็นสีมงคลตามวันเกิดของท่านคือวันพุธตอนกลางคืน
ร ย่อมาจาก รวิวณฺโณ เป็นฉายาของท่าน ใช้ตัวอักษรสีเหลือง หมายถึง สีของผ้ากาสาวพัสตร์
ฐานดอกบัวบาน ใช้ภาพที่เป็นสีเขียว สีเหลือง สีชมพู และสีขาว หมายถึง ความเบ่งบานของพระศาสนาจากมูลนิธิ โดยได้รับความร่วมมือของศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชน ผู้ร่วมเป็นฐานเริ่มต้นในการจัดตั้งและสนับสนุนให้เกิดมูลนิธิพระครูวรรณสารโสภณ (เฟื่อง รวิวณฺโณ) มีอักษรไทยอยู่ด้านบนความว่า มูลนิธิพระครูวรรณสารโสภณ (เฟื่อง รวิวณฺโณ) อักษรภาษาอังกฤษอยู่ด้านล่างความว่า PHRAKRUWANNASANSOPHON FOUNDATION ในกรณีที่เป็นภาพขาวดำให้มีเฉพาะลายเส้น ตามรูปที่ปรากฏด้านล่างนี้
เครื่องหมายมูลนิธิ
ข้อ 3 สำนักงานใหญ่ของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ วัดนาครินทร์ เลขที่ ๑๗ หมู่ ๖ ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่
จังหวัดศรีสะเกษ
สำนักงานสาขาตั้งอยู่ที่ –
หมวดที่ 2
วัตถุประสงค์
ข้อ 4 วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
4.1 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรและบุคคลทั่วไป
4.2 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติธรรมของบรรพชิตและคฤหัสถ์
4.3 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรและบุคคลทั่วไปที่ป่วยติดเตียง
4.4 เพื่อดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลเพื่อการกุศล และดำเนินการหรือร่วมมือกับ
องค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อสาธารณประโยชน์
4.5 ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
หมวดที่ 3
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ 5 ทุนทรัพย์ของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ
5.1 เงินสด จำนวน ๕๐๐,๐๐๐บาท (ห้าแสนบาทถ้วน)
ข้อ 6 มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
6.1 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิ
ต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
6.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
6.3 ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
6.4 รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมซึ่งอยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
หมวดที่ 4
คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ 7 กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
7.1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
7.2 ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
7.3 ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ข้อ 8 กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
8.1 ถึงคราวออกตามวาระ
8.2 ตาย หรือ ลาออก
8.3 ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับ ข้อ 7
8.4 เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก
โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 5
การดำเนินงานของคณะกรรมการของมูลนิธิ
ข้อ 9 มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คน แต่ไม่เกิน ๑๕ คน
ข้อ 10 คณะกรรมการมูลนิธิ ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธาน กรรมการมูลนิธิ
เลขานุการมูลนิธิ ผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตาม
ข้อบังคับ ข้อ 9
ข้อ 11 การแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิ ให้ปฏิบัติ ดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่แต่งตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ และ
กรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 12 กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๔ ปี
ข้อ 13 การแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของ
ที่ประชุม
ข้อ 14 กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับแต่งตั้งเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ 15 ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งถึงคราวออกตามวาระ ให้กรรมการของมูลนิธิ
ที่พ้นจากตำแหน่งจากการถึงคราวออกตามวาระปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไป
จนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่
หมวดที่ 6
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 16 คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และ
ภายใต้ข้อบังคับนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
16.1 กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินการตามนโยบายนั้น
16.2 ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ของมูลนิธิ
16.3 เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีรายรับ – รายจ่าย ต่อนายทะเบียน
16.4 ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
16.5 ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
16.6 แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการ
เฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
16.7 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
16.8 เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
16.9 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
16.10 แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ หรือมติให้ดำเนินการ ตามข้อ 16.6,
16.7, 16.8 และ 16.9 ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุม และที่ปรึกษาตามข้อ 16.9
ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น
ข้อ 17 ประธานกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
17.1 เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
17.2 สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
17.3 เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ข้อบังคับ
และสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือกรรมการมูลนิธิ
ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
17.4 ปฏิบัติการอื่น ๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 18 ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติ
หน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ 19 ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุม
คราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุม
คราวนั้น
ข้อ 20 เลขานุการมูลนิธิ มีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประชุมของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป
รักษาระเบียบ ข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และ
ทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ 21 เหรัญญิก มีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 22 สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่ง
ระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ 23 คณะกรรมการมูลนิธิ มีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่น ๆ ของมูลนิธิได้
หมวดที่ 7
อนุกรรมการ
ข้อ 24 คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้ง
ให้เป็นคณะอนุกรรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวใดก็ได้ และในกรณีที่
คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้
ก็ให้อนุกรรมการและคณะแต่งตั้งกันเองเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าวก็ได้
ข้อ 25 อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนอนุกรรมการ
ประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ให้อยู่ในตำแหน่ง
ได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง
อาจได้รับการแต่งตั้งอีกก็ได้
25.1 อนุกรรมการ มีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
25.2 อนุกรรมการ มีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวดที่ 8
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 26 คณะกรรมการมูลนิธิ จะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี ภายในเดือนพฤศจิกายน
และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ 27 การประชุมวิสามัญ อาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิ
ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทน ขอให้มีการ
ประชุมก็ให้มีการเรียกประชุมวิสามัญได้ สำหรับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ 26 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 28 กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิ
กำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง และในส่วนที่เกี่ยวข้อง
กับองค์ประชุมให้ใช้ ข้อ 26 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 29 ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุม
เป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้
ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิ
ต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตาม
มตินั้น กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธาน
กรรมการมูลนิธิ
ข้อ 30 ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธาน
ในที่ประชุม มีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือ
ผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
หมวดที่ 9
การเงิน
ข้อ 31 ในกรณีเร่งด่วนให้ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิ ในกรณีทำหน้าที่แทน
มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน)
แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว
ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิ โดยเสียงข้างมากก่อน
ข้อ 32 เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 50,000.- บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) แล้วต้อง
รายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ 33 เงินสดของมูลนิธิ หรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาล
ค้ำประกัน แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร และหากมูลนิธิประสงค์จะซื้อพันธบัตรรัฐบาล
ให้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการก่อน แต่ทั้งนี้ต้องไม่นำทรัพย์สินส่วนที่เป็นทุนมาดำเนินการ
ดังกล่าว
ข้อ 34 การสั่งจ่ายเงินของมูลนิธิโดยเช็ค จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน
กับเลขานุการ หรือเหรัญญิก ลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ 35 การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผล
อันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ
และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
ข้อ 36 ให้คณะกรรมการมูลนิธิ วางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน บัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนด
อำนาจหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 37 ให้คณะกรรมการมูลนิธิ จัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมา
เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี
หมวดที่ 10
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ
ข้อ 38 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ จะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการ
มูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติม
ข้อบังคับต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
หมวดที่ 11
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ 39 ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิ
ที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่วัดนาครินทร์ ตำบลตูม อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
ข้อ 40 การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้อง
ให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
40.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์สิน
ตามคำมั่นเต็มจำนวน
40.2 เมื่อกรรมการมูลนิธิ จำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
40.3 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ
40.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด
หมวดที่ 12
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 41 การตีความในข้อบังคับมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวน
กรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 42 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับ
ของมูลนิธิไม่ได้กำหนดไว้ หรือกำหนดไว้ขัดแย้ง
ข้อ 43 มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการ
ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
(พระครูวรรณสารโสภณ (เฟื่อง อัครชาติ) )
ประธานกรรมการมูลนิธิพระครูวรรณสารโสภณ (เฟื่อง รวิวณฺโณ)
ความเห็นล่าสุด